Monday, May 22, 2006

รวมพลคนอัจฉริยะ พิชิตอุปสรรคความรัก

ในห้องประชุมลับไร้มิติของกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็น "พระเจ้า" ...
เก้าอี้กว่าร้อยพันตัวถูกวางเรียงเป็นวงกลมซ้อนสูงขึ้นๆไม่ต่างอะไรกับคลื่นน้ำที่กระจายออกหลังโยนก้อนหินลงไป
ใจกลางคลื่นน้ำนั้นมีชายผมขาวยาวฟูยุ่งเหยิง นั่งก้มหน้ากุมขมับอยู่เพียงลำพัง

ไม่ช้า...มือข้างหนึ่งก็วางลงบนไหล่ของชายสูงอายุผู้นั้น ราวกับอยากดูดซึมเรื่องปวดหัวกวนใจมาแบ่งปัน ถ้าทำได้
"สูตร E=MC2 ก็ช่วยไม่ได้ล่ะสิที่นี้...ลองใช้ทฤษฎีสัมพันธภาพรึยังล่ะ" หนุ่มหล่ออายุรุ่นหลานกล่าวทัก
"ตั้งโจทย์ไว้ยังไม่วายประชดนะ นายคาสโนวา"
ไอน์สไตน์ตอบโดยไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมอง เพราะด้วยมันสมองระดับเขา การเดาคนจากน้ำเสียงและท่าทาง ไม่ยากเท่าโจทย์ที่เขาได้รับจากเจ้าของมือบนไหล่...จอมโจรขโมยใจนายคาสโนวา

ไม่นานได้เวลาที่ยอดคนระดับโลกจะเริ่มทยอยกันเข้าสู่ที่ประชุม เสียงซอกแซกเริ่มดังขึ้น
ท่ามกลางความโกลาหลของการแก้โจทย์ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น
"จะแก้สมการความรัก แค่หาตัวแปรยังหาไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ"
เจ้าของคำพูดเย้ยหยันนั้นคือ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส คนเก่งซึ่งค้นพบทวีปอเมริกา
ไอน์สไตน์และคาสโนวาสบตากัน พร้อมหัวเราะลั่น...
มือข้างเดิมของคาสโนวาตบลงบนไหล่ของเพื่อนสูงอายุอีกครั้ง ราวกับจะบอกว่า คนนี้ขอผมเอง

"คงช่วยได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่คำพูดของนายนะ คริส...ถ้าให้นายช่วยหาตัวแปร X นายจะหลงไปบังเอิญเจอตัวแปร Y อีกรึเปล่าล่ะ?"

เสียงหัวเราะของเพื่อนรักต่างวัย ขยายวงกว้างเป็นเสียงหัวเราะของคนทั้งห้องประชุม
ประโยคตอกกลับของคาสโนวาพุ่งกระแทกกลางแสกหน้าของเจ้าตัวโคลัมบัส ผู้ที่ครั้งหนึ่งได้รับมอบหมายให้ค้นหาอินเดีย แต่กลับค้นพบอเมริกา

"เข้าเรื่องเถอะ" หลังกัดแอ๊ปเปิ้ลคำโตไอแซก นิวตันตัดสินใจใช้ความอาวุโสเป็นอาวุธ กำจัดเรื่องไร้สาระออกจากที่ประชุม
"กับประเด็นที่คาสโนวาตั้งไว้แต่การประชุมครั้งก่อน ความรัก/อุปสรรค/ทางออก ...มีอะไรคืบหน้าบ้าง"

เบน แฟรงคลิน ทำหน้าที่ของเลขากลุ่ม "พระเจ้า" ลุกขึ้นทบทวนผลการประชุมจากครั้งก่อน...
"ความไม่เข้าใจ อารมณ์ และความต้องการ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ด้วย ID(อิด) เรื่องนี้ฟรอยด์ก็พูดมาหลายรอบแล้ว..."
"ก็เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้...ด้วยตัวเราเอง...ในระดับหนึ่ง" ฟรอยด์ไม่รอช้าที่จะย้ำ

"ถ้างั้นเรื่องมือที่สามล่ะ?" แวนโก๊ะห์ ตะโกนแทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาท...
แปลกที่ทุกคนเข้าใจ และไม่มีใครต่อว่าศิลปินหูด้วนผู้นี้
ก็เพราะลุ่มหลงในความรักนี่แหล่ะ แวนโก๊ะห์ถึงเสียหูข้างหนึ่งไป...
มือยักษ์สั่นเทาสัมผัสเบาๆบนหัวของแวนโก๊ะห์จากข้างหลัง
เหลียวไปมอง แวนโก๊ะห์พบน้ำตาจากความเห็นใจของอาลี นักสู้ที่พิการเพียงร่างกาย
ความอบอุ่นจากอาลีช่วยให้ใจของแวนโก๊ะห์ผ่อนคลายลง

"เรื่องนี้ สงสัยต้องให้ JFK กับสาวในชุดขาวตอบละมั้ง...
เห็นมั้ยโลกกลมจริงๆ แม้ในที่ประชุม สองคนนี้ยังไม่วายนั่งข้างกัน..."
ไม่รอให้กาลิเลโอกัดจนจบ มอนโรก็รีบลุกเดินออก ไม่ลืมที่จะฉุดกระชากเคเนดี้ที่ทำท่าจะลุกขึ้นปราศรัยแก้ความ
ภาพที่เห็นเปลี่ยนความเครียดให้เป็นเสียงหัวเราะของทุกคนได้พักใหญ่

"มือที่สาม?...ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนดีพอ คนทั้งสองคงไม่เริ่มหาคนอีกคน"
เออเนสต์ ฮัมมิงเวย์ ตอบไว้ลายด้วยภาษากวีของเขา
"ระยะทาง..." คาสโนวาพูดขึ้น
"นายเองก็รักกันดีไม่ใช่เหรอฮัมมิงเวย์ ก่อนที่ระยะทางจะทำลายความรักไปพร้อมๆกับชีวิตของนาย..."

"ผิดแล้วคาส..." ไอน์สไตน์อดไม่ได้ที่จะขัดเพื่อนรัก
"ถ้าระยะทางคือตัวแปรสำคัญของความรัก ทางออกของเราก็มีให้เห็นกันแล้ว!!"
ไอน์สไตน์ยกมือชี้ไปที่ชายสองคนที่นั่งอยู่ริมทางเดิน
"พี่น้องตระกูลไรท์ กับเครื่องบินข้ามทวีป..."
"มาร์ค อิริคสัน กับโทรศัพท์มือถือ..."
ไอน์สไตน์ยกสองมือขึ้นชี้ไปทางซ้ายและขวา
"แล้วไอ้คอมพิวเตอร์ที่ทั้งเกท ทั้งจ็อป ชิงดีชิงเด่นกันอัพเดทอยู่นี่ล่ะ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องระยะทางหรอกหรือ"

ความเงียบเข้าปกคลุม ทุกคนรู้ดีว่าที่ไอน์สไตน์พูดมาทั้งหมดเป็นเพียงการเกริ่นเข้าประเด็นสำคัญ
...ประเด็นเดียวที่แม้ไอน์สไตน์เองก็คิดไม่ตก

"ระยะเวลาต่างหากล่ะ"
ทันใดนั้น แสงแฟลสก็กระทบเข้าหน้าของชายสูงอายุ ไอน์สไตน์ฉวยโอกาสนี้ ชี้นิ้วกลับไปยังตากล้อง
"กระทั่งกล้อง กับภาพถ่าย ก็เอาชนะเวลาได้แค่ครึ่งเดียว...อดีตไง ความทรงจำช่วยพาเราไปอดีต แต่ก็แค่อดีตเท่านั้น"

"อนาคต เป็นเรื่องของจินตนาการ ใช่เรากำลังพูดถึงนายแหล่ะ เลนนอน...
หลังจากแต่งเพลง imagine กับเนื้อหาสวรรค์บนดินอะไรนั่นแล้ว นายจินตนาการออกมั้ยล่ะว่านายจะโดนเก็บ...อืมมมมมม ยาก"

แก้ปัญหาไม่ตก ไอน์สไตน์ก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ทุกอย่างเหมือนเดินกลับมาสู่ภาพแรกที่เราเห็น

ไม่ทันไรหัวเรือหลักของคนอัจฉริยะก็กระโดดลุกจากโต๊ะ
ภาพของไอน์สไตน์ในตอนนี้ เป็นเพียงตาแก่หัวฟูสติเฟื่องที่ดูจะเพี้ยนๆไปแล้ว

เกิดอะไรขึ้น?! สายตานับพันคู่จับจ้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น...ไอน์สไตน์เองก็สงสัยไม่แพ้กันด้วย

หรือเพราะโต๊ะที่สั่นได้ด้วยตัวมันเอง
แล้วลื้นชักชั้นบนสุด ก็เลื่อนตัวออกช้าๆ
มือเล็กๆกลมๆข้างหนึ่งยื่นโผล่มาพร้อมกุญแจไขปริศนาความรัก

.......................................................................................

อ่านถึงตรงนี้ (ถ้ามีความอดทนมากพอ) คงเดาได้ไม่ยากว่าอัจฉริยะคนสุดท้ายคือ "โดเรมอน" ของเราเอง
แต่ถ้าจะเดาว่า โดเรมอน ช่วยความรักได้ด้วย ไทม์แมชชีน คอปเตอร์ไม้ไผ่ ไฟฉายย่อส่วน หรือประตูทะลุมิติ คงต้องขอบอกว่าเดาผิด!

เพราะแม้แต่กระเป๋าสี่มิติของโดเรมอน ก็ไม่มีอุปกรณ์วิเศษไหนที่จะช่วยให้ความรักราบรื่นไร้อุปสรรค

แต่คำตอบแห่งปริศนาความรักที่โดเรมอนมี เป็นอุปกรณ์วิเศษที่มีอยู่จริง
พูดให้ถูกกว่านั้นคงต้องบอกว่า โดเรมอนมี ผมมี คุณมี และทุกคนก็มี
"รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ" ไงครับ

ความรักไม่ใช่สิ่งที่ดูแลกันได้ด้วยสมอง
ความรักไม่ใช่สมการที่แก้กันง่ายๆโดยอาศัยความฉลาด
เพราะเหตุนี้เองการประชุมอย่างเคร่งเครียดของคนอัจฉริยะถึงเป็นผลงานที่ล้มเหลวไม่มีชิ้นดี

"พระเจ้า" กี่ร้อยกี่พันคนก็ช่วยไม่ได้ถ้าคุณและคู่ของคุณ ทำสิ่งนี้หล่นหายไปจากทางเดินแห่งรัก

.......................................................................................

ไอน์สไตน์ยิ้มกว้างที่สุดเหมือนครั้งที่เขาค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ
ครั้งนั้นเขากำลังนั่งชมวิวบนยอดเขาอย่างผ่อนคลายเป็นที่สุด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

"แค่คิดจะเอาชนะความรัก คุณก็เริ่มแพ้แล้ว...แต่ถ้าคุณแพ้ คุณจะได้พบกับความรัก"

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ไอน์สไตน์อาศัยจังหวะนี้ รุกต่อ

"มือที่สาม...ก็คือคนที่สาม คนที่สี่...จนถึงคนที่ห้าล้านที่ต้องพบต้องเจอ เพราะโลกนี้ไม่ได้มีเราอยู่แค่สองคน"
"ระยะทาง...คือระยะห่าง คือที่ว่าง ที่กว้างพอที่ช่วยให้คนสองคนไม่อึดอัดจนเกินไป"
"ระยะเวลา...คือเวลากับตัวเอง ที่ช่วยให้คำตอบของความรักชัดเจนขึ้น"

"ถ้างั้นคำตอบของความรักล่ะ?!" ชาลี แชบปลิน ชูไม้เท้าขึ้นสูงเด่นพอๆกับเสียงที่แหลมสูงแสบหู
ไอน์สไตน์อุ้มโดเรมอนขึ้นขี่คอ สูงไม่แพ้ไม้เท้าของแชบปลิน พร้อมตะโกนกลับดังๆว่า

"ความสุขไงล่ะ คือคำตอบ!!"

4 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ก้อเข้าใจถูกแล้วหนิพี่ชี่ ก้อรู้แล้วนี่น่าว่าอะไรทำให้ตัวเองมีความสุข ต่อไปก้อไม่ต้องมาตั้งคำถามให้กับตัวเองแล้วนะว่า มันจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าในเมื่อวันนี้พี่ชี่รู้คำตอบให้กับตัวอง you're not LOSER then.

11:37 AM  
Blogger noomai said...

ถ้ามองว่าสมองคือความคิด บางทีมันก็ยากที่จะแยกความรักออกจากสมองนี่นา
เวลาพูดถึงความรัก มันอาจจะไม่ใช่ความฉลาดปราดเปรื่องตามคำนิยามทั่วไป แต่เป็นความฉลาดในการคิด รู้จักวิธีประคับประคองความรักให้ผ่านไปด้วยดีละมั้ง อย่างน้อยก็น่าจะฉลาดรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เรายิ้ม หรือหัวเราะ แล้วสร้างความสุขให้คู่ของเราได้ คู่ของเราก็ควรจะต้องฉลาดรู้ว่ารอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะของเรามีความหมายสื่อถึงอะไร ใช่ป่ะ

คำตอบสุดท้ายของความรักอาจจะใช่ความสุข แต่ทางเดินสู่คำตอบนั้น อาจจะไม่ได้มีแค่ทางเดียว เหมือนกับที่ 2+2=4 ในขณะที่ 2*2 ก็เท่ากับ 4 เหมือนกัน

สุดท้าย... คนเราจำเป็นต้องแพ้เพื่อให้รู้จักความรักเหรอ?? อันนี้ไม่จริงม้างงงง.......

9:07 AM  
Anonymous Anonymous said...

บางครั้ง คนเราก็ตั้งคำถามกับชีวิต บางครั้งชีวิตก็ตั้งคำถามให้กับมนุษย์

เราเกิดมาทำไม เกิดมาได้ไง เกิดมาเพื่ออะไร สิ่งเหล่านี้ถูกถามกันเรื่อยมา

คนคนหนึ่งมองชีวิตคือความทุกข์ ขณะที่อีกคนมองชีวิตคือความสุข

ถ้ามีคำถามว่า หากคุณเลือกได้ว่า คุณจะมีอายุขัยได้มากขนาดไหน
คนคนหนึ่งอาจจะตอบว่า เขาอยากอยู่ตลอดไป เพราะเขาอยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ อยากเห็นทุกสิ่งในจักรวาล อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน
ขณะที่ คนอีกคนหนึ่ง อยากจบชีวิต ณ เดี๋ยวนี้ เพราะเขาเบื่อโลกนี้ เหนื่อยที่จะต้องปรับเปลี่ยนไปกับทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป

ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณจะเลือกอะไร คุณเกิดมาทำไม คุณเกิดมาเพื่อทำอะไร

สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ คุณไม่สามารถย้อนเวลาได้ แม้จะมีทฤษฎี นิยายสารพัดที่จะหาหนทาง
ในเมื่อไม่สามารถย้อนเวลาได้ เราก็ควรจะทำสิ่งที่เราจะไม่คิดเสียใจในภายหลัง เมื่อมองย้อนกลับมา

บางทีความสนุกของชีวิตก็คงเป็นที่ มันมีหลายตัวแปรหลากหลาย มีสิ่งใหม่ๆ ให้ท้าทาย แต่.. มันก็อาจจะสร้างความล้ากับชีวิตให้เช่นกัน

4:41 PM  
Blogger noomai said...

ที่บอกว่าคนเราทุกข์เพราะรัก หรือว่ามีรักแบบมีทุกข์เนี่ยะ ... ถ้าพูดกันธรรมดาๆเลย ก็คงเป็นรักที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ทำไมคนเราต้องทุกข์เพราะรัก

แต่... คิดอีกอย่าง.. คนที่่เค้ามีรักแบบนั้น เค้าอาจจะมีสุขที่ได้รัก แล้วก็มีสุขมากกว่าที่จะต้องเลิกรักก็ได้นะคะ ความสุขน้อยๆนั้นเลยบังตาไปเลยอ่ะค่ะ

3:10 AM  

Post a Comment

<< Home