รวมพลคนอัจฉริยะ พิชิตอุปสรรคความรัก
ในห้องประชุมลับไร้มิติของกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็น "พระเจ้า" ...
เก้าอี้กว่าร้อยพันตัวถูกวางเรียงเป็นวงกลมซ้อนสูงขึ้นๆไม่ต่างอะไรกับคลื่นน้ำที่กระจายออกหลังโยนก้อนหินลงไป
ใจกลางคลื่นน้ำนั้นมีชายผมขาวยาวฟูยุ่งเหยิง นั่งก้มหน้ากุมขมับอยู่เพียงลำพัง
ไม่ช้า...มือข้างหนึ่งก็วางลงบนไหล่ของชายสูงอายุผู้นั้น ราวกับอยากดูดซึมเรื่องปวดหัวกวนใจมาแบ่งปัน ถ้าทำได้
"สูตร E=MC2 ก็ช่วยไม่ได้ล่ะสิที่นี้...ลองใช้ทฤษฎีสัมพันธภาพรึยังล่ะ" หนุ่มหล่ออายุรุ่นหลานกล่าวทัก
"ตั้งโจทย์ไว้ยังไม่วายประชดนะ นายคาสโนวา"
ไอน์สไตน์ตอบโดยไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมอง เพราะด้วยมันสมองระดับเขา การเดาคนจากน้ำเสียงและท่าทาง ไม่ยากเท่าโจทย์ที่เขาได้รับจากเจ้าของมือบนไหล่...จอมโจรขโมยใจนายคาสโนวา
ไม่นานได้เวลาที่ยอดคนระดับโลกจะเริ่มทยอยกันเข้าสู่ที่ประชุม เสียงซอกแซกเริ่มดังขึ้น
ท่ามกลางความโกลาหลของการแก้โจทย์ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น
"จะแก้สมการความรัก แค่หาตัวแปรยังหาไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ"
เจ้าของคำพูดเย้ยหยันนั้นคือ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส คนเก่งซึ่งค้นพบทวีปอเมริกา
ไอน์สไตน์และคาสโนวาสบตากัน พร้อมหัวเราะลั่น...
มือข้างเดิมของคาสโนวาตบลงบนไหล่ของเพื่อนสูงอายุอีกครั้ง ราวกับจะบอกว่า คนนี้ขอผมเอง
"คงช่วยได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่คำพูดของนายนะ คริส...ถ้าให้นายช่วยหาตัวแปร X นายจะหลงไปบังเอิญเจอตัวแปร Y อีกรึเปล่าล่ะ?"
เสียงหัวเราะของเพื่อนรักต่างวัย ขยายวงกว้างเป็นเสียงหัวเราะของคนทั้งห้องประชุม
ประโยคตอกกลับของคาสโนวาพุ่งกระแทกกลางแสกหน้าของเจ้าตัวโคลัมบัส ผู้ที่ครั้งหนึ่งได้รับมอบหมายให้ค้นหาอินเดีย แต่กลับค้นพบอเมริกา
"เข้าเรื่องเถอะ" หลังกัดแอ๊ปเปิ้ลคำโตไอแซก นิวตันตัดสินใจใช้ความอาวุโสเป็นอาวุธ กำจัดเรื่องไร้สาระออกจากที่ประชุม
"กับประเด็นที่คาสโนวาตั้งไว้แต่การประชุมครั้งก่อน ความรัก/อุปสรรค/ทางออก ...มีอะไรคืบหน้าบ้าง"
เบน แฟรงคลิน ทำหน้าที่ของเลขากลุ่ม "พระเจ้า" ลุกขึ้นทบทวนผลการประชุมจากครั้งก่อน...
"ความไม่เข้าใจ อารมณ์ และความต้องการ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ด้วย ID(อิด) เรื่องนี้ฟรอยด์ก็พูดมาหลายรอบแล้ว..."
"ก็เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้...ด้วยตัวเราเอง...ในระดับหนึ่ง" ฟรอยด์ไม่รอช้าที่จะย้ำ
"ถ้างั้นเรื่องมือที่สามล่ะ?" แวนโก๊ะห์ ตะโกนแทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาท...
แปลกที่ทุกคนเข้าใจ และไม่มีใครต่อว่าศิลปินหูด้วนผู้นี้
ก็เพราะลุ่มหลงในความรักนี่แหล่ะ แวนโก๊ะห์ถึงเสียหูข้างหนึ่งไป...
มือยักษ์สั่นเทาสัมผัสเบาๆบนหัวของแวนโก๊ะห์จากข้างหลัง
เหลียวไปมอง แวนโก๊ะห์พบน้ำตาจากความเห็นใจของอาลี นักสู้ที่พิการเพียงร่างกาย
ความอบอุ่นจากอาลีช่วยให้ใจของแวนโก๊ะห์ผ่อนคลายลง
"เรื่องนี้ สงสัยต้องให้ JFK กับสาวในชุดขาวตอบละมั้ง...
เห็นมั้ยโลกกลมจริงๆ แม้ในที่ประชุม สองคนนี้ยังไม่วายนั่งข้างกัน..."
ไม่รอให้กาลิเลโอกัดจนจบ มอนโรก็รีบลุกเดินออก ไม่ลืมที่จะฉุดกระชากเคเนดี้ที่ทำท่าจะลุกขึ้นปราศรัยแก้ความ
ภาพที่เห็นเปลี่ยนความเครียดให้เป็นเสียงหัวเราะของทุกคนได้พักใหญ่
"มือที่สาม?...ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนดีพอ คนทั้งสองคงไม่เริ่มหาคนอีกคน"
เออเนสต์ ฮัมมิงเวย์ ตอบไว้ลายด้วยภาษากวีของเขา
"ระยะทาง..." คาสโนวาพูดขึ้น
"นายเองก็รักกันดีไม่ใช่เหรอฮัมมิงเวย์ ก่อนที่ระยะทางจะทำลายความรักไปพร้อมๆกับชีวิตของนาย..."
"ผิดแล้วคาส..." ไอน์สไตน์อดไม่ได้ที่จะขัดเพื่อนรัก
"ถ้าระยะทางคือตัวแปรสำคัญของความรัก ทางออกของเราก็มีให้เห็นกันแล้ว!!"
ไอน์สไตน์ยกมือชี้ไปที่ชายสองคนที่นั่งอยู่ริมทางเดิน
"พี่น้องตระกูลไรท์ กับเครื่องบินข้ามทวีป..."
"มาร์ค อิริคสัน กับโทรศัพท์มือถือ..."
ไอน์สไตน์ยกสองมือขึ้นชี้ไปทางซ้ายและขวา
"แล้วไอ้คอมพิวเตอร์ที่ทั้งเกท ทั้งจ็อป ชิงดีชิงเด่นกันอัพเดทอยู่นี่ล่ะ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องระยะทางหรอกหรือ"
ความเงียบเข้าปกคลุม ทุกคนรู้ดีว่าที่ไอน์สไตน์พูดมาทั้งหมดเป็นเพียงการเกริ่นเข้าประเด็นสำคัญ
...ประเด็นเดียวที่แม้ไอน์สไตน์เองก็คิดไม่ตก
"ระยะเวลาต่างหากล่ะ"
ทันใดนั้น แสงแฟลสก็กระทบเข้าหน้าของชายสูงอายุ ไอน์สไตน์ฉวยโอกาสนี้ ชี้นิ้วกลับไปยังตากล้อง
"กระทั่งกล้อง กับภาพถ่าย ก็เอาชนะเวลาได้แค่ครึ่งเดียว...อดีตไง ความทรงจำช่วยพาเราไปอดีต แต่ก็แค่อดีตเท่านั้น"
"อนาคต เป็นเรื่องของจินตนาการ ใช่เรากำลังพูดถึงนายแหล่ะ เลนนอน...
หลังจากแต่งเพลง imagine กับเนื้อหาสวรรค์บนดินอะไรนั่นแล้ว นายจินตนาการออกมั้ยล่ะว่านายจะโดนเก็บ...อืมมมมมม ยาก"
แก้ปัญหาไม่ตก ไอน์สไตน์ก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ทุกอย่างเหมือนเดินกลับมาสู่ภาพแรกที่เราเห็น
ไม่ทันไรหัวเรือหลักของคนอัจฉริยะก็กระโดดลุกจากโต๊ะ
ภาพของไอน์สไตน์ในตอนนี้ เป็นเพียงตาแก่หัวฟูสติเฟื่องที่ดูจะเพี้ยนๆไปแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?! สายตานับพันคู่จับจ้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น...ไอน์สไตน์เองก็สงสัยไม่แพ้กันด้วย
หรือเพราะโต๊ะที่สั่นได้ด้วยตัวมันเอง
แล้วลื้นชักชั้นบนสุด ก็เลื่อนตัวออกช้าๆ
มือเล็กๆกลมๆข้างหนึ่งยื่นโผล่มาพร้อมกุญแจไขปริศนาความรัก
.......................................................................................
อ่านถึงตรงนี้ (ถ้ามีความอดทนมากพอ) คงเดาได้ไม่ยากว่าอัจฉริยะคนสุดท้ายคือ "โดเรมอน" ของเราเอง
แต่ถ้าจะเดาว่า โดเรมอน ช่วยความรักได้ด้วย ไทม์แมชชีน คอปเตอร์ไม้ไผ่ ไฟฉายย่อส่วน หรือประตูทะลุมิติ คงต้องขอบอกว่าเดาผิด!
เพราะแม้แต่กระเป๋าสี่มิติของโดเรมอน ก็ไม่มีอุปกรณ์วิเศษไหนที่จะช่วยให้ความรักราบรื่นไร้อุปสรรค
แต่คำตอบแห่งปริศนาความรักที่โดเรมอนมี เป็นอุปกรณ์วิเศษที่มีอยู่จริง
พูดให้ถูกกว่านั้นคงต้องบอกว่า โดเรมอนมี ผมมี คุณมี และทุกคนก็มี
"รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ" ไงครับ
ความรักไม่ใช่สิ่งที่ดูแลกันได้ด้วยสมอง
ความรักไม่ใช่สมการที่แก้กันง่ายๆโดยอาศัยความฉลาด
เพราะเหตุนี้เองการประชุมอย่างเคร่งเครียดของคนอัจฉริยะถึงเป็นผลงานที่ล้มเหลวไม่มีชิ้นดี
"พระเจ้า" กี่ร้อยกี่พันคนก็ช่วยไม่ได้ถ้าคุณและคู่ของคุณ ทำสิ่งนี้หล่นหายไปจากทางเดินแห่งรัก
.......................................................................................
ไอน์สไตน์ยิ้มกว้างที่สุดเหมือนครั้งที่เขาค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ
ครั้งนั้นเขากำลังนั่งชมวิวบนยอดเขาอย่างผ่อนคลายเป็นที่สุด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน...
"แค่คิดจะเอาชนะความรัก คุณก็เริ่มแพ้แล้ว...แต่ถ้าคุณแพ้ คุณจะได้พบกับความรัก"
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ไอน์สไตน์อาศัยจังหวะนี้ รุกต่อ
"มือที่สาม...ก็คือคนที่สาม คนที่สี่...จนถึงคนที่ห้าล้านที่ต้องพบต้องเจอ เพราะโลกนี้ไม่ได้มีเราอยู่แค่สองคน"
"ระยะทาง...คือระยะห่าง คือที่ว่าง ที่กว้างพอที่ช่วยให้คนสองคนไม่อึดอัดจนเกินไป"
"ระยะเวลา...คือเวลากับตัวเอง ที่ช่วยให้คำตอบของความรักชัดเจนขึ้น"
"ถ้างั้นคำตอบของความรักล่ะ?!" ชาลี แชบปลิน ชูไม้เท้าขึ้นสูงเด่นพอๆกับเสียงที่แหลมสูงแสบหู
ไอน์สไตน์อุ้มโดเรมอนขึ้นขี่คอ สูงไม่แพ้ไม้เท้าของแชบปลิน พร้อมตะโกนกลับดังๆว่า
"ความสุขไงล่ะ คือคำตอบ!!"
4 Comments:
ก้อเข้าใจถูกแล้วหนิพี่ชี่ ก้อรู้แล้วนี่น่าว่าอะไรทำให้ตัวเองมีความสุข ต่อไปก้อไม่ต้องมาตั้งคำถามให้กับตัวเองแล้วนะว่า มันจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าในเมื่อวันนี้พี่ชี่รู้คำตอบให้กับตัวอง you're not LOSER then.
ถ้ามองว่าสมองคือความคิด บางทีมันก็ยากที่จะแยกความรักออกจากสมองนี่นา
เวลาพูดถึงความรัก มันอาจจะไม่ใช่ความฉลาดปราดเปรื่องตามคำนิยามทั่วไป แต่เป็นความฉลาดในการคิด รู้จักวิธีประคับประคองความรักให้ผ่านไปด้วยดีละมั้ง อย่างน้อยก็น่าจะฉลาดรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เรายิ้ม หรือหัวเราะ แล้วสร้างความสุขให้คู่ของเราได้ คู่ของเราก็ควรจะต้องฉลาดรู้ว่ารอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะของเรามีความหมายสื่อถึงอะไร ใช่ป่ะ
คำตอบสุดท้ายของความรักอาจจะใช่ความสุข แต่ทางเดินสู่คำตอบนั้น อาจจะไม่ได้มีแค่ทางเดียว เหมือนกับที่ 2+2=4 ในขณะที่ 2*2 ก็เท่ากับ 4 เหมือนกัน
สุดท้าย... คนเราจำเป็นต้องแพ้เพื่อให้รู้จักความรักเหรอ?? อันนี้ไม่จริงม้างงงง.......
บางครั้ง คนเราก็ตั้งคำถามกับชีวิต บางครั้งชีวิตก็ตั้งคำถามให้กับมนุษย์
เราเกิดมาทำไม เกิดมาได้ไง เกิดมาเพื่ออะไร สิ่งเหล่านี้ถูกถามกันเรื่อยมา
คนคนหนึ่งมองชีวิตคือความทุกข์ ขณะที่อีกคนมองชีวิตคือความสุข
ถ้ามีคำถามว่า หากคุณเลือกได้ว่า คุณจะมีอายุขัยได้มากขนาดไหน
คนคนหนึ่งอาจจะตอบว่า เขาอยากอยู่ตลอดไป เพราะเขาอยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ อยากเห็นทุกสิ่งในจักรวาล อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน
ขณะที่ คนอีกคนหนึ่ง อยากจบชีวิต ณ เดี๋ยวนี้ เพราะเขาเบื่อโลกนี้ เหนื่อยที่จะต้องปรับเปลี่ยนไปกับทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณจะเลือกอะไร คุณเกิดมาทำไม คุณเกิดมาเพื่อทำอะไร
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ คุณไม่สามารถย้อนเวลาได้ แม้จะมีทฤษฎี นิยายสารพัดที่จะหาหนทาง
ในเมื่อไม่สามารถย้อนเวลาได้ เราก็ควรจะทำสิ่งที่เราจะไม่คิดเสียใจในภายหลัง เมื่อมองย้อนกลับมา
บางทีความสนุกของชีวิตก็คงเป็นที่ มันมีหลายตัวแปรหลากหลาย มีสิ่งใหม่ๆ ให้ท้าทาย แต่.. มันก็อาจจะสร้างความล้ากับชีวิตให้เช่นกัน
ที่บอกว่าคนเราทุกข์เพราะรัก หรือว่ามีรักแบบมีทุกข์เนี่ยะ ... ถ้าพูดกันธรรมดาๆเลย ก็คงเป็นรักที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ทำไมคนเราต้องทุกข์เพราะรัก
แต่... คิดอีกอย่าง.. คนที่่เค้ามีรักแบบนั้น เค้าอาจจะมีสุขที่ได้รัก แล้วก็มีสุขมากกว่าที่จะต้องเลิกรักก็ได้นะคะ ความสุขน้อยๆนั้นเลยบังตาไปเลยอ่ะค่ะ
Post a Comment
<< Home