Friday, April 10, 2009

ไปไม่เป็น



กลับมาเหยียบบ้านเกิดได้ไม่ถึงสามวัน อยากกลับไปอีกละ

ไม่ได้นึกกระแดะทำตัวเป็นเด็กนอกหรืออย่างไร แต่ความเป็นไทยมันหายไปไหน(วะ)

เคยได้ยินปัญหาเหลืองแดง ลงจากเครื่องไม่ถึงสองวัน เสื้อแดงแกเล่นปิดอนุสาวรีย์ต้อนรับเลยวุ้ย โชคดีวันนั้นหนีไปช่วยงานเพื่อนแคสติ้งเด็กๆมาเล่นซิทคอมที่ท่าพระจันทร์ เลยไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับให้หงุดหงิดอารมณ์แต่อย่างใด แต่ถ้าวันนั้นเกิดทะลึ่งมาปิดแถวสนามหลวงเนี่ย ไม่แน่

จากคนที่ไม่เคยฟังข่าว ไม่ชอบฟังรายการวิทยุ แถมยังบ่นอุบให้แม่เปลี่ยนไปฟังคลื่นอื่นที่ไม่ใช่ จส.100 กะ 101 อยู่ทุกครั้งที่นั่งรถมาด้วยกัน...ณ วันนี้กลายเป็นคนติดตามข่าวสารจราจรเองแบบเสียไม่ได้ ดีเหมือนกัน ฟังไปฟังมา เลยได้ของแถมเป็นเสียงหล่อๆของท่านมาร์คที่ออกมาพูดแถลงการณ์ให้ชื่นใจอีกตะหาก

ลื่นหูอยู่ได้ไม่ทันไร กำลังจะเลี้ยวเข้าที่จอดรถของเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ เห็นว่าห้างใหญ่บุกมาเปิดแถวบ้าน(นอก)ก็อดไม่ได้ ต้องขอแวะมาเยี่ยมชมสักหน่อย เจอสาวใหญ่เดินผ่านหน้ารถ เฮ้ย เจ๊กำลังจะออกแน่เลย ว่าแล้วก็จอดรอซะ

โตโยต้าคันหน้าพี่แกเลยไปคันครึ่งแล้ว ยังไม่วายเปิดไฟกระพริบ เอาแล้วสิ ไม่ได้หงุดหงิดจากการปิดถนน ก็จะให้หงุดหงิดในที่จอดรถเสียให้ได้ เอาดิ เอากะมัน

คันหลังขอแจม บีบแตรใส่กรูซะงั้น เออ เวลคัมทูไทยแลนด์ กะมันหน่อย

แปลกที่เราด่าฝรั่งกันทุกวี่วัน ไปอยู่เมืองมันบ้านมันก้อใช่ว่าจะมีความสุขซะเมื่อไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่อง"เอาแต่ได้"เนี่ย คนตาน้ำข้าวเค้าสู้พี่ไทยเราไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เจ๊สาวใหญ่ขับออกไปแล้ว พี่โตโยต้ารี่ถอยมาตามที่ทำนายดวงชะตาไว้ ดีที่ฟาดเคราะห์มาเจอกับกรู คนที่ไม่มีอะไรจะเสีย เอาสิ จบนอกมาจะตายคาที่จอดรถในห้างวันที่สามที่มาถึงก้อให้มันรู้กันไป

ผมจอดที่เจ๊แกนั่นล่ะ เดินลงมา เฮียโตโยต้าแกก็เดินลงมา

"ผมรอจอดอยู่"

"แต่พี่เลยไปแล้วหนิ"

"แต่ผมรอจอดอยู่"

เอากะมัน สงสัยแผ่นเสียงคงตกร่อง กระทบกระแทกสักหน่อยอาจจะเล่นได้ต่อ

โชคดี(ของผม)ที่พี่แกเดินกลับรถไปเสียก่อน

...

ยืนอมควันรอดูลาดเลาสักห้านาที หันซ้ายขวามองหายามว่าจะฝากดูรถ เห็นยามหนึ่งคนเดินผ่าน พร้อมกับที่ได้ยินเสียงลอดจากมุมตึกมาว่า

"เ-ี้ย เจาะยางแม่งเลย"

นึกในใจ พี่มันได้ที่จอดเร็วจังวะ วันนี้มะเร็งเป็นยาดีแฮะ ช่วยให้รถไม่โดนขูดก็ได้ด้วย

ที่ไหนได้ครับ กลับเป็นพี่ยามอีกคนนึง โหหหหหหหหห เล่นกันเองอย่างนี้ แล้วผมจะฝากรถไว้กับพี่ได้อย่างไร

...

ไม่รู้จะยินดีหรือยินร้ายกับตัวเองดี เมื่อได้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง

สี่ปีนานซะที่ไหน แต่เพราะเหตุใดบ้านเราถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้!!?

Friday, January 30, 2009

HSH: Home Sweet Home...or How 2 Select a Home?

เคยนึกมาตลอดว่าบ้านในอเมริกาจะต้องเป็นแบบ หลังคาสูงๆ กว้างโล่ง ข้างฝาน้อยๆ
เหมือนบ้านพระเอกในหนังเรื่อง Big Daddy (1999)
บ้านสองชู้ใน Addicted To Love (1997)
หรือบ้านรักสามเส้าใน Two Girls And A Guy (1997)...


เค้ามีศัพท์เฉพาะด้วยนะ เรียกว่า Loft

Loft mainly refers to two different types of rooms. It typically refers to an upper story or attic in a building, directly under the roof. Alternatively, it can refer to a loft apartment which is a large adaptable open space either created or converted for residential use. (ข้อมูลจากเวปวิกิพีเดีย http://en.wikipedia.org/wiki/Loft)

ไม่ใช่ถูกๆนะครับ โดยเฉพาะในซานฟรานฯที่จัดว่าเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ (อันดับ 1 อมตะถาวรตลอดการคือ the big apple หรือ New York ครับ) ค่าเช่าลอฟท์ในตัวเมืองซานฟรานน่าจะสูงถึงประมาณ 3-4 พันเหรียญต่อเดือน

ไม่มีปัญญาจ่ายอย่างแน่นอน ต่อให้เดินขายตูดแถวย่าน Castro (ถนนศูนย์กลางกระเทยเลื่องชื่อของซานฟรานฯ) คงต้องขายกันจนตูดแหกตูดบาน อึไม่ต้องเบ่งไปหลายเดือน...

ตั้งแต่รู้ว่าได้เรียนที่ Academy of Art แบบแช่แป้งแล้ว ผมเผลอจองบ้านพักของโรงเรียน หรือที่เรียกว่า Dormitory สั้นๆว่าดอม เหตุเพราะไม่มีคนรู้จัก ไม่มีข้อมูล ...และนั่นคือก่อนที่จะได้ข่าวของเพื่อนเอก... ค่าดอมของ AAU ช่วงปี 2005 ตกอยู่ที่ 5,000-6,000 ต่อเทอม (semester) หนึ่งเทอมคือ 4 เดือน ส่วนประเภทห้องของดอมก็มีให้เลือกอีก ว่าอยากอยู่เดี่ยว อยู่รวม ห้องน้ำส่วนตัว มีโต๊ะพูล โต๊ะปิงปองในตึก ต่างต่างนานา ซึ่งค่าเช่าก็แปรผันตรงกับความสะดวกที่ได้รับ

แต่ขอบอกครับ ครั้งที่ผมจองดอมไปคราวนั้นถึงกับงง ...เรื่องของเรื่องคือ ไอ่ AAU เนี่ย มันคือ"มหาลัยตึกแถว"ตัวจริงเสียงจริงเลย เพราะแม้ว่าซานฟรานฯจะเป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองสำคัญ แต่อย่าเผลอจินตนาการเชียวครับ ว่าจะมีมหาลัยขนาดใหญ่กั้นรั้วยาวเป็นไร่ๆ (ใกล้สุดที่เห็นมีสองที่คือ University of San Francisco และ San Francisco State University ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ในเขตตัวเมือง) น่าแปลกที่มหาลัยเอกชนในซานฟรานฯส่วนใหญ่ยึดทำเล downtown เป็นที่ทำมาหากิน จะว่าสะดวกกับนักเรียนมั้ย?...ไม่เลยครับ คือที่ในตัวเมืองมันถูกจับจองไปหมดแล้ว จะหาตึกยาวติดๆกันมันไม่มี เลยต้องอาศัยซื้อตึกเล็กตึกน้อยกระจายกันไป ส่วนไอ่นักเรียน AAU น่ะหรอ

เรียนจบคาบนึงก้อขึ้นรถโรงเรียนไปต่ออีกคาบอีกตึกนู่นครับ!!

ถ้าเปิดดูแผนที่ของตึก AAU ในตัวเมืองซานฟรานฯ คุณจะพบเลยว่า ตึกเรียนมันแพร่ระบาดไปทุกมุมเมืองเหมือนเซเว่นอีเลฟเว่นฉันใดก็ฉันนั้น ยิ่งผนวกเข้ากับดอมอีกเกือบยี่สิบแห่งด้วยแล้วเนี่ย ผมว่าทัวร์จีนคงมีงง ต้องขอแวะถ่ายรูปกันแหล่ะครับ เพราะขับไปถนนไหนก้อเจอแต่ป้ายแดงดำมหัศจรรย์ที่ว่า แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าทัวร์จีนโดนหลอก คือไอ่ดอมของ AAU บางแห่งเนี่ย มันคือห้องพักโรงแรมถูกๆครับ!! เรื่องของเรื่องคือจำนวนนักเรียนมันเยอะเกินกว่าที่โรงเรียนจะไปกว้านซื้อตึกได้ทัน ก็เลยอาศัยทางลัด เปิดห้องในโรงแรมให้เช่าซะเลย

พูดถึงโรงแรม ผมมารู้เอาทีหลังว่าคนไทยหลายคนอาศัยพักแบบเหมาเดือนที่โรงแรมชื่อ Grant Hotel...ถ้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าของโรงแรมแห่งนี้เป็นคนไทยครับ แกเลยยินดีช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติด้วยกันในสนนราคาที่ไม่แพงจนเกินไป

อีกแห่งที่คนไทยเข้าออกเป็นว่าเล่นคือ"ตึกอร่อย"ครับ ที่เรียกเช่นนี้เพราะตึกมันอยู่ชั้นบนของร้านไทยชื่อ"ร้านอร่อย" ซึ่งทำเลจัดว่าดีเลยทีเดียว...ราคาค่าห้องก็แล้วแต่ล่ะครับ ว่าอยากพักแบบไหน ห้องสตูดิโอ (ห้องกว้างๆห้องเดียว) ห้องแบบวันเบด (One Bedroom คือมีห้องนั่งเล่น และห้องนอนแยกจากกันเป็นสัดส่วน) หรือทูเบด (Two Bedrooms) หรืออินลอว์ (In-Law หมายถึงพักตามบ้านที่มีเจ้าของบ้าน ที่เราเรียกกันว่าแลนลอร์ด/Landlord อยู่ร่วมชายคาด้วย ส่วนใหญ่อินลอว์จะอยู่นอกเมืองครับ) จะว่าไป ทำเลเนี่ยมีผลโดยตรงกับค่าเช่าเลย อยู่กลางเมืองก็ฟันธงได้ว่าเป็นพันแน่นอน เพราะถ้าต่ำกว่านั้นให้พึงระวังว่าจะได้พักในย่านที่ไม่ดี...ถ้าเงินไม่ถึงขอแนะนำให้เขยิบออกไปในเขตปริมณฑล หรือหารูมเมทครับ

ไม่ต่างอะไรกับการเลือกดอมครับ ตาดีได้ตาร้ายเสีย...ดูกันให้ดีๆให้รอบคอบ ทั้งเรื่องการเดินทาง ห้องน้ำ ห้องครัว ซักรีด ที่จอดรถ รูมเมท ฯลฯ ทำการบ้านไว้แต่เนิ่นๆครับ เวปไซต์เครกส์ลิสต์ช่วยชีวิตหลายต่อหลายคนมาแล้ว (http://sfbay.craigslist.org/hhh/) เพราะส่วนใหญ่ไม่ว่าที่ไหนจะจับเราเซ็นต์สัญญาก่อนเข้าพัก กำหนดสัญญาทั่วไปก็บังคับอยู่ที่ 1 ปี พร้อมเก็บค่าเดโพสิต (Deposit ว่ากันง่ายๆก็เหมือนค่าประกันแหล่ะครับ) โดยมากในเดือนแรกเจ้าของห้องเช่าจะบังคับจ่ายสองเท่าเสมอ เพื่อหักส่วนหนึ่งเก็บไว้ กรณีผู้พักเกิดเปลี่ยนใจย้ายออกก่อนกำหนด หรือทำห้องชำรุด เจ้าของห้องเช่าก็มีสิทธิ์ยึดเงินประกันส่วนนี้ได้ ไม่ผิดอะไร

โชคดีของผมที่ได้ข่าวเรื่องเพื่อนเอกก่อน เลยอีเมลล์ไปยกเลิกดอมที่ AAU ได้ทัน...อย่างน้อยก็ต้องยกความดีความชอบให้คนอเมริกันอย่างนึงล่ะครับ คือถ้าไม่ชอบยินดีคืนเงิน!! อันนี้ใช้ได้กับสินค้าทั่วไปด้วยครับ ไม่ใช่ดอมเพียงอย่างเดียว เคยได้ยินเพื่อนของเพื่อนซื้อคอมพ์ไปใช้ จบสามเดือนเอาไปรีเทิร์นยังได้เงินคืนครบ...มีอีกกรณีศึกษาเรื่องนี้ หนังเรื่อง My Date With Drew (2004) ซื้อกล้องจากร้าน Circuit City ถ่ายทำหนังยาวทั้งเรื่องภายในกำหนดคืนกล้องคือ 30 วัน ทำเอาร้านค้าต่างๆต้องหันมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การคืนสินค้า ลดจำนวนวันทดลองใช้ให้สั้นลงเกือบครึ่ง

.... .... .... .... .... .... .... ....

บ้าน 179 Nagle เป็นบ้านสองชั้นเก่าๆหน้าตาไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหร่ เป็นเหมือนทาว์นเฮาส์ขนาดย่อมๆเรียงติดกันร่วมสิบกว่าหลังคาเรือน คนส่วนใหญ่ในย่านนี้เป็นคนจีน รถจอดกันริมทางเท้า...ดูยังไงก็ห่างไกลความเป็นลอฟท์ในฝันหลายช่วงตัว

ไม่ต่างอะไรกับการเลือกแฟนครับ อย่าวัดกันที่รูปลักษณ์ภายนอก...ข้างในสำคัญกว่า
โดยเฉพาะเรื่องของ รูมเมท!!


Wednesday, January 14, 2009

จากบ้านเก่าถึงบ้านใหม่

ตอนที่แล้วเปิดปมปริศนาไว้ ที่ว่าผมเองไม่เคยรู้จักเอก...

แม่นแล้วครับ ผมกับเอกไม่รู้จักกันโดยตรง
แต่เอกเป็นเพื่อนสนิทของเพื่อนสนิทของผม
คือถ้าจับมาวางเป็นสมการละก้อ จะได้ประมาณว่า...

เอก = เพื่อนสนิท = ผม

"เฮ้ย สึนามิเป็นไงมั่งวะ" เอกถามขณะที่เรากำลังขับออกจากสนามบิน
ผมเปิดเป้ หยิบข้าวเกรียบรวยเพื่อนให้เอก ตาก็จับจ้องซ้ายขวาไปเรื่อย...
อาการเหมือนหมางงครับ เผื่อจะทำให้คุณเห็นภาพชัดขึ้น
ก็ห่างซานฟรานฯไปเป็นสิบปีนะครับ ไม่ใช่สิบนาที
ไม่ว่าหมาตัวไหนๆมันก็ลืมกลิ่นกันไปหมด ต้องมีตื่นเต้นเป็นธรรมดา

"กูไม่ได้ถามหาฮานามิ" เอกถอนใจขั้นรุนแรง จนขนจมูกร่วงลงห่อขนมสองเส้น
"กูถามเรื่องที่ภูเก็ต" เผอิญช่วงนั้นเป็นเดือนมกราคมของปี 2005 เหตุสึนามิเพิ่งเกิดตอนปลายปี 2004
"เศร้าว่ะ"

จะว่าไปช่วงเดือนสองเดือนก่อนเดินทาง เพื่อนรุ่นน้องเพิ่งโทรมาชวนไปทำบุญทำกุศล ช่วยเก็บศพผู้ประสบเคราะห์ทางภาคใต้
ไอ่เราก็ตอบปฏิเสธน้องไปแบบข้างๆคูๆ เหตุผลหลอกคือต้องเตรียมตัวเรียนต่อ ทั้งที่ลึกๆแล้วเหตุผลหลักคือ ใจไม่กล้าพอ

พูดถึงเรื่องนี้ พาให้ผมนึกถึงดาราที่ชื่อ อ้น สราวุฒิ หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิ
น่าชื่นชมนะ เพราะถ้าเป็นผมรอดมา คงตัวสั่น ไม่มีแรงจะไปช่วยใครต่อใครต่อเป็นแน่
สุดท้ายฮีโร่ในวันนั้นก็กลายมาเป็นอีโร(ติก)ในวันนี้
คงเหมือนที่เคยได้ยินใครหลายคนสรุปให้ฟัง...

...คนไทยขี้ลืมครับ!!

ลืมเรื่องดีๆ เ-ือกจำเรื่องเ-ี้ยๆ
น่าสงสารคุณอ้น อุตส่าห์รอดจากสึฯ แต่ดันมาตายเพราะสื่อ

... ... ... ... ... ... ... ...

"เศร้าว่ะ"

"นาทีนั้น กูแม่งโคตรห่วงไอ่ตี่เลย" เอกพาผมกลับมาสู่บทสนทนา
ไอ่ตี่ที่ว่าคือเพื่อนสนิทของเราทั้งคู่
ใช่แล้วครับ ถ้าเติมชื่อมันลงแทนตัวแปรจากสมการข้างบน เราจะได้คำตอบ

เอก = ตี่ = ผม

ตี่ได้งานดูแลห้างใหม่ที่กำลังจะเปิดที่ภูเก็ต
มันต้องขึ้นลงกรุงเทพฯภูเก็ตเป็นว่าเล่น บ่อยจนรู้สึกเหมือนข้ามสยามไปพารากอน
จะว่าไปไอ่โครงการที่ว่า ฟังดูยิ่งใหญ่เหมือนพารากอนไม่มีผิด
โชคดีที่ความมโหฬารของมัน ทำให้งานสร้างล่าช้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์
ไม่งั้นตี่คงได้กลายเป็น อดีตตี่ไปแล้ว

คงต้องขอบคุณตี่แหล่ะครับ ที่เป็นคนชี้ทางสว่าง
นาทีที่ตี่รู้ว่าผมเลือกจะมาซานฟราน ตี่ไม่รอช้า
บอกว่ามีเพื่อนสนิทชื่อเอกอยู่ซานฟรานเหมือนกัน
ไอ่เอก...ที่เคยเป็นหลีด หน้าตาดีๆ ชอบตัวติดกะตี่เหมือนคู่เกย์
เคยไปนั่งกินเบียร์กันสามสี่คน กะไอ่เอกกะไอ่ตี่นี่แหล่ะ
ไม่รู้มันจำผมได้รึเปล่า
นาทีนั้นผมก็แค่อิจฉามันแหล่ะ ก้อแม่งเล่นหน้าตาดีทั้งแก๊งค์
แต่วันนี้ เอก...นายกะเราคงต้องรู้จักกันจริงๆจังๆเสียที

"เฮ้ย ถึงแล้ว" เสียงเอกดังขึ้น

ผมเปิดประตูรถ ไอเย็นข้างนอกหนาวมาก
ผมไม่รอช้า ยกกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบ
ใจตื่นเต้นทำไมไม่รู้
อาจเพราะต้องฝากท้องไว้ที่บ้านหลังนี้ อีกตั้งสามสี่ปี
จะมีใครอยู่บ้างน้อ ในบ้านหลังนี้

179 Naglee...

Saturday, January 10, 2009

arrival



สองทุ่มกว่า เครื่องจากสายการบิน China Airlines เทียบท่าสนามบิน SFO ...ชายไทยตัวท้วมสูงในเสื้อหนังสีดำ ยืนรอใครบางคน...ยี่สิบนาทีผ่านไป กว่าที่เอกจะโผล่หน้ามารับ คุ้นๆอยู่ว่าเคยเจอเอกสมัยมหาลัย หน้าตาเหมือนอาทิตย์ ริว ผมเลยพกนิตยสารเพื่อนรักสัตว์เลี้ยงฉบับหน้าปกอาทิตย์ ริว มาเป็น reference กันลืม...พอเจอตัว สงสัยว่าหนังสือมันหดเพราะเก็บใส่กระเป๋ามานานหรืออย่างไร นายเอกที่ครั้งนึงเคยเป็นเดือนมหาลัย ในวันนี้กลายเป็น(ไส้)เดือนอวบระยะสุดท้าย ข้างๆเอกคือนิ สาวเสียงแหบมาดเท่ นิกับผมไม่รู้จักกันมาก่อน... จะว่าไปเอกกับผมก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเหมือนกัน

สามเดือนที่แล้ว ผมกัดฟันลิ้นพันเหงือกเดินไปหาคุณชายนายวู้ดดี้(นามสมมุติ--เจ้านาย)พร้อมจดหมายลาออกใบที่สี่ ตลอดสามครั้งที่ผ่านมา ผมเดินออกมาพร้อมเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นครั้งละพันเสมอ แต่ครั้งนี้ ไฟในการทำงานมันยิ่งกว่าภูเขาไฟดับสนิทเขาอังคาร แถวพนมรุ้ง คือมันมอดไปหมด...จำได้ว่าครั้งนึงผมเคยสนุกกับการทำรายการทีวี นอนลังกาหลังซัมเมอร์ซอล์ทปั่นสคริประหว่างรอตัดต่อ อดหลับอดนอนได้สองวันเต็มๆ ที่ทำได้ขนาดนั้นไม่ใช่เพราะว่าเคยเป็นยามหรือคนขับสิบล้อมาก่อน แต่เพราะอยากเห็นผลงานของตัวเองออกฉายในทีวี...แต่หลังจากที่ต้องทำงานหกวันต่ออาทิตย์ ติดต่อกันถึงสิบเดือน ผมต้องยกธงขาวยอมแพ้ คนนะครับ ไม่ใช่เซเว่น

คราวนี้ ผมเดินจากห้องของเจ้านายพร้อมรอยยิ้ม แปลกที่ในครั้งก่อนๆ เงินหนึ่งพันไม่เคยซื้อรอยยิ้มให้กับผมได้ จะได้ก็แต่กระทิงแดงสี่ห้าโหลไว้กินต่อเดือน...สะบัดตูดออกจาก W Networks (นามสมมุติ) ผมไม่รอช้า รีบเผ่นกลับบ้านเปิดเน็ท ดูคลิปแอนนา...ไม่ใช่ล่ะ...เปิดเน็ทหาที่เรียนต่อตะหาก ใช้เวลาไม่นาน อาศัยตัดตัวเลือกจนในที่สุดก็เหลือสองที่ ที่แรกชื่อ Savannah College of Art and Design อยู่ในรัฐจอร์เจียที่แลจะไม่จอแจเอาซะเลย ที่ที่สองชื่อ Academy of Art University อยู่ในซานฟราน

หลักการเลือกที่เรียนของผมง่ายมากครับ ดูที่สาขา ว่ากันว่าถ้าจะจดทะเบียนให้ไปสาขาบางรัก แต่ถ้าอยากเลิกก้อนี่เลย บางพลัด...แหะๆคนมันคึกจากฤทธิ์กระทิงแดงง่ะ อ่ะต่อครับต่อ ผมจบตรีเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ หรือ BE ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.07 ผมไม่ใช่คนโง่ (แต่ก้อไม่ฉลาด) ตอนนั้นผมเลือกเรียน BE เพราะที่นั่นสอนเป็นภาษาอังกฤษ และผมเองเพิ่งกลับจากไปเรียนแลกเปลี่ยนที่แคลิฟอร์เนีย อยากเป็นเด็กนอกให้ถึงที่สุดว่างั้น ทั้งๆที่อีกตัวเลือกจากการสอบเอนทรานซ์คือความฝันของผม สถาปัตฯ ลาดกระบัง สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ไม่ได้นะ แต่ได้แล้วไม่เอา...

เชื่อรึยังว่าผมไม่ใช่คนโง่!

ระหว่างนั้นก็บวกลบคูณหารเหตุผลอาเพทร้อยแปดครับ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความสะดวกในการเดินทาง แฟนที่เรียนจุฬา คุณพ่อที่ชิลๆ คุณแม่ที่อยากให้เรียนด้านธุรกิจ ลามปามไปถึงพื่อนเก่าที่เซนต์ ทีี่ไปได้สวยจากการเรียนเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์...คือ ขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงครับว่า ถ้าอยากเรียนด้านเศรษฐฯละก้อ ธรรมศาสตร์จัดว่ามีชื่อไม่แพ้จุฬา ยิ่งนาทีนั้นภาคภาษาอังกฤษเพิ่งเปิด ของผมเป็นรุ่นที่สาม ได้โอกาสวัดดวง คิดในใจว่า เผื่อวันหน้าวันหลังคณะนี้ดังเป็นพลุแตก ผมอาจจะได้อานิสงไปด้วย

เด็กๆผมชอบคิดชอบฝัน อยากเป็น อยากทำหลายๆอย่าง วาดรูปมันของถนัดอยู่แล้ว แต่วิชาด้านธุรกิจไม่เคยรู้ ถ้าได้ฝึกฝนก็น่าจะช่วยให้ผมรอบคอบขึ้น ไม่ถูกใครเอาเปรียบได้ง่ายๆ... แล้วผมก็กลายเป็น"เป็ด"ครับ

มาถึงตรงนี้ ต้องเลือกที่เรียนต่อ จะพลาดซ้ำสองคงไม่เหมาะ ผมคงต้องเลิกหลอกตัวเอง... เป็ดมันว่ายน้ำไม่เก่ง บินก็ไม่เก่ง ขืนเป็นเป็ดต่อไปคงได้จมน้ำ ไม่ก็ร่วงจากฟ้าตายแหงม... ตั้งแต่จบมา ผมสะสมชั่วโมงการทำงานกว่าห้าปี ทั้งในวงการโฆษณาและทีวี มากพอที่จะรู้ว่าผมอยากเป็นอะไร อะไรที่ว่าไม่ใช่เป็ด แต่เป็นนักเล่าเรื่องตะหาก ในที่สุด ผมก็เลือกเรียนสาขาภาพยนตร์ อาศัยค้นเอาทางเน็ท พูดคุยกับรุ่นพี่คนนู้นคนนี้ ปรากฏว่าเจอกับข้อจำกัดเยอะเหมือนกัน ไหนจะเงิน ไหนจะ requirement ของแต่ละมหาลัย บางที่ต้องการวุฒิตรีในสาขาเดียวกัน บางที่ต้องการผลสอบโทเฟล...จากตัวเลือกเป็นสิบ ตัดไปตัดมาเหลือสองตัวสุดท้าย จากนั้นไปต่อไม่ยากเลย อย่างที่เคยเกริ่นให้ฟังครับ ผมเคยมาเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองเล็กๆขื่อ Salinas อยู่ใต้ซานฟรานประมาณสองชั่วโมงขับรถ ตลอดสิบเอ็ดเดือนของชีวิตเด็กบ้านนอก การได้เข้าเมืองใหญ่อย่างซานฟรานทำให้ผมมีความสุขเสมอ

และในที่สุด ผมก็กลับมาอีกครั้ง

Friday, January 09, 2009

ก่อนจะเป็น ซานฟรานฯรำลึก

คิดมานานแล้ว ว่าจะเขียนบันทึกประสบการณ์ ชีวิตเบี้ยวๆเอียงๆตลอดสี่ปีในซานฟรานฯ เผื่อวันหน้าวันไหนใครอยากจะมาสัมผัสชีวิตเด็กไทยในต่างแดน จะได้เตรียมการณ์ได้ถูก เรียน/เที่ยว/เล่น/เสิร์ฟ รสชาติมันเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดต่างกันอย่างไร

แต่จนแล้วจนรอด ยอดชายนายชี่ ก็ไม่เคยหาจังหวะนั่งลงเคาะแป้นให้เป็นเรื่องเป็นราวกับเขาสักที...สุดท้ายต้องอาศัยลมเพลมพัดซัดเรามาถึงซีแอทเทิล พร้อมขอบคุณฝน ที่ตกเฉลี่ยอาทิตย์ละหกวัน เวลาคนเราออกไปไหนไม่ได้ คงคล้ายกับอาการหมาติดเกาะ งงๆแบบอะไรวะ ว่าแล้วก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนวอชิงตันถึงมีค่าเฉลี่ยไอคิวที่สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เพราะในเมื่อไม่อาจไปหลั่นล้านอกบ้าน ก็คงต้องอาศัยวิ่งเล่นในบ้าน ฟุ้งซ่านในขดสมอง ประกายไอเดียใหม่ๆทั้งหลายแหล่จึงถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ที่โดดเด่นมากคือการสร้างสรรค์งานดนตรี

แต่ใช่ว่า วอชิงตันจะติดอันดับตัวเต็งหนึ่งเพียงเรื่องเดียว เพราะอีกเรื่องที่รัฐนี้มีชื่อไม่แพ้กัน คือเป็นที่ที่มีค่าเฉลี่ยคนฆ่าตัวตายสูงสุดของประเทศ เดาได้ไม่ยาก เหตุเพราะยัยฝนอีกเช่นกัน

เคิร์ท โคเบน นักร้องนำวง Nirvana เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด...คนๆนี้สร้างกระแสดนตรีแนวใหม่ Grunge หรือ Seattle sound ให้กับโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ก็เกิดและจบชีวิตของตัวเองลง ที่นี่

เกริ่นกันไปพอหอมปากหอมคอ เป็นการปัดฝุ่นอุ่นเครื่องให้กับผู้เขียน เพราะในตอนหน้า เราจะนั่งเครื่องย้อนเวลา กลับไปยังดินแดนแห่งสายรุ้งทั้งเจ็ด...ซานฟรานซิสโก เมืองที่คนส่วนใหญ่ให้นิยามว่าเป็น "เมืองที่โรแมนติกที่สุด"

Saturday, November 18, 2006

เวปของคนรักหนัง

แนะนำครับ แนะนำเวปใหม่ สำหรับคนรักหนังโดยเฉพาะ...
อืม ถ้าเป็นตัวจริงจอเงินละก้อคงคุ้นหูกับเวปชื่อ imdb.com แล้วใช่มั้ย (internet movie database)
เวป imdb คือเวปห้องสมุดของหนังทั่วโลก ที่เปิดให้บริการสำหรับอ่าน/ค้นข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นปีที่หนังออกฉาย
นักแสดง แล้วก้อข้อมูลของทีมงานเบื้องหลัง...

แต่ที่อยากแนะนำในวันนี้คือ ymdb.com คับผม
"your movie database" ชื่อก้อบอกแล้วใช่ม้า ว่าเป็นเวปหนังของคุณ
ที่สนุกหน่อย (โดยเฉพาะสำหรับคนอย่างผม) คือเวปนี้คุณสามารถสร้าง top 20 movie list ของคุณขึ้นมาได้
จะว่าไปพอได้ list หนังของตัวเองแล้ว ก้อกลายๆว่าจะมีเพื่อนที่ดูหนังคอเดียวกันเข้ามาแวะเวียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันล่ะคับ

อีกทั้งเวปนี้ยัง link โดยตรงกะ imdb ซะด้วย ข้อมูลต่างๆเลยค่อนข้างเที่ยงตรง ... จะมีขัดใจเล็กน้อยกับหนังบางเรื่องที่ขึ้นรูปแต่ไม่มีชื่อให้เห็น คงเพราะความใหม่ล่ะครับ ก้อถูๆไถๆกันไป ... หวังว่าในไม่ช้าคงมีการปรับปรุงให้แม่นยำมากขึ้น

ลองเล่นดูแล้วกันนะครับ แล้วเจอกันใน ymdb.com (ได้ค่านายหน้าแล้ว ... ไปล่ะ)

Saturday, August 19, 2006

หวยที่ถูก...ลืม

ว่ากันด้วยเรื่องหนังอีกแล้ว...
หนังเรื่องนี้หากใครได้ดู คงไม่พ้นเหมือนมีหวยใต้ดินเลขเด็ดมาอยู่ในมือ
ถูกแน่ๆ ถูกจังๆ รางวัลใหญ่
แต่หารู้ไม่...หรือไม่รู้จักหาอันนี้ไม่อาจทราบได้ ว่า...หวยเลขเด็ดนั้นมันดันมีเจ้าของจองอยู่แล้ว

Finder's Fee คือหนังดีทุนต่ำคุณภาพที่ผมบังเอิญได้ดูเมื่อ 3-4 ปีก่อน
จริงอยู่ครั้งนานมาแล้วที่ดูคือ ฆ่าเวลา แต่มาปีนี้ที่ดูกลายเป็น "ฆ่าตัวตาย"
ก็บทหนังมันเนียนนุ่มเหมือนเนื้อฟิเลมิยองฉันใดก้อฉันนั้น
ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คนเขียนบทคงเคยเป็นเว็ทร้านเสต็กมาก่อน
เพราะสูตรมันเด็ดไม่ใช่สูตรสำเร็จแต่อย่างใด
สันเนื้อจานนี้...อร่อยได้ด้วยตัวของมันเอง

Finder's Fee ว่าด้วยเรื่องของชายหนุ่มซึ่งเก็บกระเป๋าตังเได้จากข้างถนน
จะว่าเจอเงินสดก้อนโตก้อไม่ผิดซะทีเดียว...
จะต่างอะไรล่ะ ถ้าสิ่งที่เค้าพบ แทนค่าเป็นเงินได้เหมือนกัน
เขาพบว่าข้างในนั้นมี lotto ที่ถูกรางวัลที่หนึ่งของค่ำคืนนั้น
6 ล้านดอลล่าร์ ที่ตั๋ว lotto รางวัลที่ 1 นั้นสามารถแลกได้ ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย
นี่ยังได้มาฟรีๆอีกตะหาก!
หากแต่...สองนาทีก่อนพบหวย
หมอแกดันไปเจอเบอร์โทรเบอร์หนึ่ง นัยว่าจะเป็นคนรู้จักของเจ้าของ
แล้วหมอก็ใจเร็ว ชิงโทรไปเสียก่อน!

แค่สิบห้านาทีแรกของหนังก็เล่นเอาเหงื่อไหลไคลย้อยเสียแล้ว
นี่ยังไม่นับถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะตามมา
ว่ากลุ่มเพื่อนๆเซียน Poker Face ของพระเอกกำลังมารวมตัวกัน
เพื่อให้เกมร้อนไปอีกเท่าตัว

ไม่จำเป็นต้องเล่าต่อ เพราะคนอ่านคนดูคงอยากนึกจินตนาการเอาเอง
แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ จะทำยังไง

...ตอบง่ายๆ ก็ไปหามาดูสิ เพราะงานนี้ถึง all-in ก็ไม่มีผิดหวัง!